Category: hokkaido
-
[รีวิวฮอกไกโด] : วิธีเดินทางไป ฮาโกดาเตะ ด้วยรถบัส (Bus from susukino to Hakodate)
วิธีเดินทางจากซัปโปโรไปฮาโกดาเตะนั้น มีให้เลือกอยู่หลายแบบด้วยกัน แต่ถ้าพูดถึงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ มีให้เลือก 2 วิธี นั่งรถไฟ จากสถานีซัปโปโร (Sapporo Station) -> สถานีฮาโกดาเตะ (Hakodata Station) ใช้เวลา 3.40 ชม. ราคา 8,830 เยน ประมาณ 2,600 บาท นั่งรถบัส ซึ่งเรานั่งจาก Shiden Tram Susukino -> Hakodate Station Terminal ใช้เวลา 6 ชม. ราคา 4,600 เยน ประมาณ 1,380 บาท (ถ้าเลือกไปตอนกลางคืนก็จะประหยัดค่าโรงแรมไปในตัว แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยและเพลียกว่าเดิมนะ><) เราจองตั๋วรถบัสผ่าน Website : https://japanbusonline.com/en/ ก่อนเวลา 1 ชม. เราเดินมารอที่ป้ายนี้แล้ว พิกัด : 43.0556302,141.3522879 อยู่ใกล้ๆ…
-
[รีวิวฮอกไกโด] : ลิงแช่บ่อน้ำร้อน ที่สวนพฤกษศาสตร์เขตร้อน (Hakodate Tropical Botanical Garden /函館市熱帯植物園)
มาฮอกไกโดได้ยินมาว่ามีสถานที่ดูลิงแช่น้ำร้อน เดินทางง่าย ไม่ไกลจากตัวเมืองฮาโกดาเตะ(Hakodate) ตอนนี้เราก็มายืนอยู่ที่เมืองนี้กันแล้ว ฮาโกดาเตะ เมืองแห่งท้องทะเลฮอกไกโด วันนี้เราเก็บภาพฝาท่อของเมืองนี้ได้ 3 อัน เป็นงานอดิเรกในการมาเที่ยวญี่ปุ่นในทุกๆครั้ง เรานั่งรถบัสที่ชื่อว่า Hakodate Bus หมายเลข 96 มาลงป้าย Nettai Shokubutsu-en แล้วเดินข้ามสะพานที่มองออกไปเป็นท้องทะเลและฟ้าสีคราม จากนั้นก็มีป้ายบอกทางให้เดินไปต่อที่สวนพฤกษศาสตร์เป็นรูปลิงเป็นสัญลักษณ์ และแล้วก็เดินมาถึงหน้าทางเข้าสวนแห่งนี้กันแล้ว สวนพฤกศาสตร์เขตร้อนเมืองฮาโกดาเตะแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณน้ำพุร้อนยุโนคาว่า (Yunokawa Hot Spring) ค่าเข้า 300 เยน แลนมาร์คอย่างแรกที่ทุกคนมุ่งตรงไปก็คือเจ้าลิงนี่ไง นั่งชมความน่ารักของลิงในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน แต่เสียดายลิงไม่ยอมแช่ออนเซน ที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลูกพืชเมืองร้อนอย่างบ้านเราด้วยนะ เดินเข้าไปจะได้เจอกับต้นไม้ ดอกไม้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ไม่น้อยเลย อย่างเช่นดอกไม้ชนิดนี้ ชื่ออะไรน้ ขุ่นพ่อขุ่นแม่มานั่งเล่นรออยู่ที่ใต้ต้นดอกเฟืองฟ้า แหมม โรแมนติกจังเลยน้า มีน้องเต่า ปลาคาร์ฟ ด้านนอกมีที่แช่เท้าด้วย เวลาเปิด-ปิด เดือนเมษายน – ตุลาคม เวลา 9.30 – 18.00 น. เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม เวลา…
-
[รีวิวฮอกไกโด] : Muji Hakodate Koryokaku
หนึ่งในร้านที่เราต้องแวะเข้าไปเดินเล่นเมื่อเข้าไปในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ก็คงหนีไม่พ้น Muji ที่เป็นแหล่งรวมสินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีทั้งเครื่องเขียน เครื่องประทินผิว ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงของกินและอื่นๆ อีกมากมาย เพราะสินค้าของที่ี่ทั้งคุณภาพดีและราคาไม่แพง ทำให้กลายเป็นหนึ่งในไอเท็มยอดฮิตที่อย่างน้อยต้องเป็นเจ้าของสักชิ้น สองชิ้น สโตร์ทขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่าหนึ่งพันตารางเมตร ในเรื่องของการตกแต่ง ที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแบบ minimal ดังนั้นเมื่อเข้าไปในร้านก็จะรู้สึกถึงความสบายๆ โล่งๆ และเป็นกันเอง นอกจากการเป็นแฟล็กชิปสโตร์แล้ว Muji แห่งนี้ยังมีโซนสินค้าต่างๆ เช่น – Found Muji (ฟาวนด์ มูจิ) ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ผสมรวมกับเอกลักษณ์ความเป็น Muji ที่ทันสมัยให้เข้ากับชีวิตของเราในปัจจุบัน – Muji Labo (มูจิ เลโบล์) เสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องยึดติดกับแฟชั่นเดิมๆ เพื่อเปลี่ยนความคิดที่ว่าเรามีเสื้อผ้าเยอะเกินความจำเป็นและทำให้ตู้เสื้อผ้าของเรามีพื่นที่ว่างมากขึ้นเพื่อเก็บสิ่งของจำเป็น – Muji Yourself (มูจิ ยัวร์ เซลฟ์) ตกแต่งสินค้าไอเท็มกระดาษของมูจิ ในแบบของตัวเอง เช่น สมุดบันทึก อัลบั้ม ซองจดหมาย ด้วยตราปั๊มแบบพิเศษที่ของ Muji – ReMuji (รี มูจิ) ไอเท็มรักษ์โลกบนแนวคิด วิถีแฟชั่นที่ยั่งยืน…
-
[รีวิวฮอกไกโด] : ป้อมดาว 5 แฉก Goryokaku (五稜郭)
ป้อมโงเรียวกาคุ (Fort Goryokaku, 五稜郭) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ป้อมดาว 5 แฉก” ตั้งอยู่ที่เมืองฮาโกดาเตะ(Hakodate) ในจังหวัดฮอกไกโด(Hokkaido) เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของเมืองนี้ทีเดียวค่ะ ไม่ใช่แค่ความเป็นมาที่น่าสนใจของป้อมแห่งนี้เท่านั้นนะคะ ยังจะเป็นจุดชมซากุระที่สวยเป็นอันดับต้นๆของเมืองอีกต่างหาก หลายคนอาจจะสงสัยกันกับชื่อของป้อมว่าทำไมถึงเรียกว่าป้อมดาว 5 แฉก นั่นก็เพราะบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่รูปดาวเนื่องจากต้องการเพิ่มพื้นที่ในการวางปืนใหญ่นั่นเอง ซึ่งจะมองเห็นได้จากมุมสูง ป้อมสร้างตามสไตล์ตะวันตก สร้างขึ้นในปีสุดท้ายของสมัยเอโดะเพื่อป้องกันเมืองฮาโกดาเตะจากการคุกคามจักรวรรดินิยมที่เกิดจากมหาอำนาจตะวันตก ไปกี่ปีต่อมาป้อมแห่งนี้กลายเป็นฐานของสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพผู้สำเร็จราชการ และกองกำลังของรัฐบาลเมจิที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังจากป้อมแห่งนี้ไม่ได้ใช้งานแล้ว จึงถูกดัดแปลงให้กลายเป็นสวนสาธารณะในช่วงปี 1910 ปลูกต้นซากุระกว่า 100 ต้นตามแนวคูน้ำ จึงกลายมาเป็นจุดชมดอกซากุระที่สวยงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นเดือนพฤษภาคมนั่นเองล่ะค่ะ ภายในนั้นจะมีจุดที่น่าแวะอยู่หลายจุดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจุดแรกอย่างพื้นที่รูปดาว โดยสะพานข้ามเข้าไปในพื้นที่รูปดาวเปิดตั้งแต่เวลา 9:00-19:00 น. บริเวณนี้ถือว่ามีความสำคัญมากๆในอดีตเลยนะคะ เนื่องจากใจกลางพื้นที่รูปดาว สมัยก่อนนั้นเคยเป็นที่ทำการรัฐบาลของฝ่ายสาธารณรัฐ(Former Magistrate Office) ของเจ้าหน้าที่ผู้สำเร็จราชการบริหารฮอกไกโด โดยนับว่าเป็นศูนย์กลางการปกครองภาคเหนือในสมัยของรัฐบาลโชกุน อาคารดั้งเดิมได้ถูกทำลายหลังจากการล่มสลายของรัฐบาลโชกุนเอโดะในปี ค.ศ. 1871 และได้รับการบูรณะซ่อมแซมใหม่ แต่เนื่องจากอาคารเดิมได้ถูกทำลายไปเกือบหมดสิ้น ทำให้ยากในการที่จะบูรณะอาคารทั้งหมดให้กลับมาสู่สภาพเดิม จึงมีการนำภาพถ่ายในอดีตและเอกสารอ้างอิงต่างๆมาวิเคราะห์และก่อสร้างสำนักงานปกครองฮาโกดาเตะขึ้นให้ใกล้เคียงสภาพเดิมมากที่สุด และเริ่มเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมในปี ค.ศ.2010 อีกจุดที่ก็เด็ดไม่แพ้กันรวมทั้งยังเป็นไฮไลท์สำหรับการท่องเที่ยวของที่นี่เลยนะคะ ซึ่งจะตั้งอยู่ข้างๆป้อมปราการขนาดใหญ่ที่มีไว้สำหรับชมวิว คือ “หอคอยโงเรียวกาคุ(Goryokaku Tower)” นับเป็นจุดฮิตที่มาเที่ยวป้อมโงเรียวกาคุแล้วจะต้องขึ้นไปชมวิวนี้ทีเดียวค่ะ โดยหอคอยแห่งนี้นั้นมีความสูง 107 เมตรถ้ารวมสายล่อฟ้า…
-
[รีวิวฮอกไกโด] : ตลาดปลาฮาโกดาเตะ Hakodate Morning Market
หลังจากที่นั่งบัสมาถึงฮาโกดาเตะ ความไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นนั่นคือหิมะที่ตกกระหน่ำลงมาตั้งแต่ตี 5 ทำเอาการเดินทางทุลักทุเลจากการลากกระเป๋าเดินทางข้ามหิมะที่ท่าทางไม่ยอมให้ผ่านไปง่ายๆ ความหนาวและความเหนื่อยทำให้พอถึงโรงแรมแล้วทุกคนนอนนิ่งกันที่ล๊อบบี้ แม้ว่าโรงแรมจะไม่ได้ไกลจากสถานีรถบัสเท่าไหร่เลยก็ตาม หลังจากนอนกันพักใหญ่อากาศข้างนอกก็เริ่มเป็นใจหิมะหยุดตกแดดออกถึงขั้นที่หิมะละลายหายไปในฉับพลันเหมือนราวกับ2 ชั่วโมงที่ผ่านมาเป็นฝันไป พวกเราก็ลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันฝากกระเป๋าแล้วเริ่มต้นออกเดินทาง กาแฟของร้านนี้มีให้เลือกหลายชนิดหลายแบบเลย พร้อมทั้งยังมีเครื่องบดขนาดใหญ่ ขายดีตั้งแต่เช้าแบบนี้ด้วยคิดว่าคงเป็นร้านยอดนิยมของคนท้องถิ่น ขนมหวานก็มีในตู้ให้เลือกเยอะเลย ข้าเจ้าได้กาแฟมาหนึ่งแก้วก็ค่อยยังชั่วหน่อย จากนั้นก็ถึงเวลาเดินไปตลาดกันต่อ หลังจากที่เปิดประตูเข้าไปในตลาดก็พบกับร้านค้าสองข้างทางร้านอาหารหลายสิบร้าน บางร้านมีคนต่อคิวตั้งแต่เช้าแบบนี้เลย ของขึ้นชื่อของที่นี่นอกจากปูและอุนิแล้ว นั่นก็คือปลาหมึกนี่หล่ะ โดยเฉพาะแบบสดๆกินกันแบบนี้เลย หรือจะเป็นไคเซ็นด้ง หน้าอื่นๆก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ระหว่างที่เดินชมอยู่ต่างคนก็ต่างไม่รู้ว่าจะเข้าร้านไหนดีจนทะลุออกมาเจออีกถนนหนึ่ง ทางด้านนอกก็มีอยู่หลายร้านวางขายของอยู่ด้วยเช่นกัน เดินไปอีกหน่อยก็เจอทางเข้าข้างใน หนาวๆแบบนี้เข้าไปเดินตลาดข้างในสบายกว่าเยอะเลย อาหารทะเลทั้งนั้นเลย หอยย่างก็มีแต่ราคาก็สูงพอสมควรเลย ปูขนเป็นตัวๆ สั่งแล้วให้ทำอาหารให้ก็ได้ หรือจะทานเล่นๆเป็นขาๆ แบบนี้ก็มี มีร้านกาแฟในตลาดด้วย คนนั่งกันเต็มร้านเลย พวกเราเดินเข้ามากลางตลาดเจอโซนตกหมึกและกุ้งด้วย เด็กๆลองจับได้กันไปคนละหนึ่งตัว เป็นกิจกรรมที่เด็กๆต้องชอบแน่ๆ นี่ไงน้องกุ้งที่กำลังล่องลอยอยู่ในบ่อ ร้านอาหารบริเวณรอบๆที่ตึกหมึก เริ่มจากร้านนี้ที่ข้าเจ้าไปเสริร์ชมาว่าเป็นร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงทีเดียว แต่ไม่แน่ใจว่าสาขานี้มั้ย เพราะไม่มีคนต่อคิว และเจ้าของร้านดูไม่ค่อยจะรับบแขกเท่าไหร่เลย สามารถซื้อแล้วเอาไปนั่งทานบนโต๊ะได้ แต่ก็ได้มาแล้ว 1 เซ็ต ตอนข้าเจ้าสั่งเสร็จเจ้าของร้านบอกรอแปปนึงแล้วก็เดินไปร้านอื่นใกล้ๆเพื่อไปซื้อวัตถุดิบ555 เอาแบบนี้เลยเหรอ แต่ก็สดและอร่อยใช้ได้เลย ปลาฮกเกะที่เลือกแล้วเค้าเอามาย่างให้สดๆ ก็อร่อยดีรสชาติกลางๆ มีร้านนึงขายซูชิด้วย เลยได้มา 2…
-
[รีวิวฮอกไกโด] : ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่าFormer Hokkaido Government Office(北海道庁旧本庁舎) – ทำเนียบอิฐแดง
หากเรายังพอมีเวลาเดินเล่นอยู่ใกล้ๆ สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) นอกจากแหล่งช๊อปปิ้ง และ[รีวิวฮอกไกโด] : หอนาฬิกาSapporo Clock Tower (札幌時計台, Sapporo Tokeidai) แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่เดินไม่ไกลก็ไปถึง นั่นคือ… ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่า (ทำเนียบอิฐแดง) หรือ Former Hokkaido Government Office(北海道庁旧本庁舎) ถึงแม้ในช่วงหน้าหนาวแบบนี้เราจะไม่ได้เห็นสวนดอกไม้ด้านหน้าอาคารขณะนี้มีเพียงฟางกันหิมะที่คลุมต้นไม้อยู่ มันก็สวยแปลกตาดีเหมือนกัน ส่วนตัวอาคารที่ก่อสร้างจากอิฐจึงทำให้เป็นที่เรียกกันว่า ‘ทำเนียบอิฐแดง’ หรือ ‘อะคะเร็งกะโจฉะ’ ในภาษาญี่ปุ่นซึ่งอาคารหลังนี้ได้เป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งชาติญี่ปุ่น มีสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก ธงรูปดาวเจ็ดแฉก คือสัญลักษณ์ตัวแทนของทูตบุกเบิก ภายในอาคารเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และมีการจัดแสดงข้อมูลสิ่งของที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของฮอกไกโด หากมีเวลามากพอสามารถรับฟังการบรรยายจากไกด์อาสาที่คอยให้ความรู้เพิ่มเติมด้วยความเต็มใจ จากหน้าต่างไม้บานเก่าๆ ที่ข้าเจ้ากำลังจะมองผ่าน แต่แล้วสายตาก็มาสะดุดกับภาพบรรยากาศภายนอกที่สามารถมองทะลุออกไปยังถนนไกลสุดลูกหูลูกตา สิ่งที่สะดุดตาอย่างที่สองก็คือของที่ระลึกจากทางประเทศไทยของเรา ช้างหยกแกะสลักสวยงาม สิ่งสะดุดตาอย่างสุดท้าย555 นั่นก็คือเจ้ากวางตัวนี้ที่ถ้ามันย้ายสถานที่ตั้งไปอยู่ด้านนอกอาคารผู้คนคงจะตกใจกันไม่น้อย ★★★Former Hokkaido Government Office(22/11/2018)★★★อาคารนี้จะเปิดไฟส่องประดับให้ผู้คนได้ชื่นชมวิวหลายแบบแตกต่างกันไปทั้งช่วงเช้า กลางวันและกลางคืนใช้เวลาเยี่ยมชมประมาณ 1 ชม. หากมีเวลาก็เป็นแลนด์มาร์กนึงที่น่าแวะมาชมประวัติศาสตร์เล็กๆน้อยๆ แต่หากไม่มีเวลาจะแค่มาแวะถ่ายรูปก็ได้ เวลาทำการ : 8:45 น.-18:00…
-
[รีวิวฮอกไกโด] : เบอร์เกอร์แสนอร่อยที่ Lucky Pierrot ฮาโกดาเตะ
ร้าน Lucky Pierrot“ラッキーピエロ- ลัคกี้พีเอโร่” แปลว่า “เจ้าตัวตลกผู้โชคดี” เชื่อว่าใครไปฮาโกดาเตะต้องเคยเห็นเคยกินกันมาแน่ๆ เพราะเพียงแค่หน้าร้านก็ต้องสะดุดตากับการตกแต่งของร้านที่ออกแนว Circus Style ตัวตลกสีสันสดใสขนาดนี้ ร้านนี้คนต่อคิวเยอะมากๆ หากไม่อยากเสียเวลาต่อคิวนานต้องมาก่อนเวลาอาหาร ข้าเจ้ามา 11:30 ยังมีคิวไม่น้อยแล้วทีเดียว ที่ฮาโกดาเตะมีอยู่หลายสาขามากๆ ที่เคยเดินผ่านก็จะมีใกล้โกดังอิฐแดง(Kanemori) สาขา Marina ป้อมปราการ 5 แฉก(Goryokaku tower) หรือใกล้ๆ กับสถานี JR Hakodate ก็มี เรียกว่าเดินเล่นกันอยู่ “เอ๊าเจอกันอีกแล้ว” แบบนี้เลย สำหรับร้านนี้ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานี JR Hakodate เดินมาประมาณ 5 นาที มีที่นั่งอยู่ประมาณ 10 ที่ มีสินค้าขายด้วย ร้านนี้เค้าเปิดมาเกือบ 20 ปีแล้ว เจ้าของร้าน Mr.Wong เค้ามีเคล็ดลับของทางร้านว่า “ของทุกอย่างต้องสดใหม่ตลอด ผักก็เป็นผักปลอดสารพิษ เนื้อหมูและเนื้อวัวทุกชิ้นถูกหมักและผ่านกรรมวิธีด้วยมือ ไม่ใช้เครื่องจักร ทุกอย่างไม่ใส่สารกันบูดและสารปรุงแต่งอย่างอื่น” นี่แหลที่ทำให้คนต่อคิวกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย พอถึงคิวเค้าก็ให้สั่งอาหารจ่ายเงินแล้วไปนั่งรอที่โตะได้เลย ราคาอาหารไม่แพงเลยสั่งมาเต็มโต๊ะราคาประมาณ…
-
[รีวิวฮอกไกโด] : จุดชมวิวภูเขาฮาโกดาเตะ Hakodate Ropeway
ที่นี่เป็นจุดชมวิวมุมกว้างในย่านชุมชนฮาโกดาเตะซึ่งโอบล้อมด้วยทะเลและภูเขา ท่านสามารถเพลิดเพลินกับ “วิวมุมกว้างจากภูเขาฮาโกดาเตะ” ที่ได้รับคะแนนระดับสามดาวซึ่งเป็นระดับสูงสุดจากคู่มือนำเที่ยวญี่ปุ่นมิชลินกรีนไกด์ ท่านสามารถเดินทางด้วยกระเช้า (ไปกลับ 1,280 เยน), รถบัส, รถแท็กซี่หรือรถเช่าได้ อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญยามค่ำคืนของการท่องเที่ยวฮอกไกโด คือการขึ้นไปชมวิวสวยงามติดอันดับโลกด้วย Mt. Hakodate Ropeway หรือ รถกระเช้าขึ้นยอดเขาฮาโกดาเตะ ที่เมืองฮาโกดาเตะนั่นเอง วิวจากยอดเขาฮาโกดาเตะที่มองกลับลงมายังท่าเรือ และตัวเมืองที่โอบล้อมด้วยทะเลทั้งสองข้างใน ยามค่ำคืนนั้น นับว่าสวยงามแปลกตา และว่ากันว่าเป็นวิวกลางคืนที่สวยงามที่สุด 1 ใน 3 ของโลกทีเดียว จุดชมวิวบนยอดเขาฮาโกดาเตะนี้ ในฤดูหนาวจะ ขึ้นไปได้แต่รถกระเช้า (Ropeway) เท่านั้น ถนนจะปิดเพื่อป้องกันอันตรายขณะหิมะตก ส่วนในฤดูอื่นอาจเรียกแท็กซี่หรือนั่งรถบัสขึ้นไปได้ด้วย แต่รถกระเช้าก็ยังคงเป็นทางเลือกที่เร็วและสะดวกที่สุดอยู่ดี เริ่มต้นจาก สถานีรถกระเช้าที่เชิงเขา ซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นมารอ ที่ชั้นสอง รถกระเช้าขนาดใหญ่จุได้นับสิบคน จะวิ่งตรงสู่ จุดชมวิวยอดเขา ซึ่งมีทั้งภัตตาคาร ร้านขายของที่ระลึก บริเวณนั่งเล่นชมวิวในห้องกระจกที่อุ่นสบาย และดาดฟ้า ที่สามารถจะออกไปชมวิวและถ่ายรูปภายนอก รวมทั้ง สัมผัสกับลมแรงและความหนาวเย็นถึงใจได้ รวมถึง สวนสนุกเล็กๆ ที่เปิดให้บริการเฉพาะบางฤดูเท่านั้น ในช่วงพลบค่ำที่นี่คนจะเยอะมาก เพราะใครๆ มาถึง เมืองนี้แล้วต้องมาชมวิวประจำเมืองกันสักครั้ง ในบางวัน ลมอาจจะแรงมาก ข้อแนะนำคือไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน…
-
[รีวิวฮอกไกโด] : หอนาฬิกาSapporo Clock Tower (札幌時計台, Sapporo Tokeidai)
Sapporo Clock Tower (札幌時計台, Sapporo Tokeidai) หอนาฬิกาโบราณประจำเมืองซัปโปโรที่เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์ก แค่ภายนอกก็แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ขึงขลังที่ผ่านยุคสมัยมาหลายกาลและเวลา เพราะที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างสไตล์ตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองซัปโปโรด้วย การเดินทางมาที่นี่ก็ง่ายมากๆ เพราะใกล้สถานีโอโดริ (Odori station) ซึ่งเป็นใจกลางเมืองซัปโปโร รอบบริเวณยังเป็นแหล่งช๊อปปิ้งหลัก และยังมี [รีวิวฮอกไกโด] : ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่าFormer Hokkaido Government Office(北海道庁旧本庁舎) หรือทำเนียบอิฐแดง ด้วย ที่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กด้วย ข้างบนยอดตึกยังมีนาฬิกาโบราณที่ยังทำหน้าที่คอยบอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรง พร้อมทั้งเสียงระฆังที่ดังกังวานในทุกๆ ชั่วโมงยามเพื่อบอกเวลา อาคารหลังนี้มีสถาปัตยกรรมเป็นอาคารไม้ที่มีหลังคาสีแดงและผนังสีขาวออกเหลืองในสไตล์บ้านที่นิยมในอเมริกากลางและอเมริกาตะวันตกในช่วงยุคบุกเบิก ที่ห้องแสดงนิทรรศการชั้น 1 มีการจัดแสดงประวัติศาสตร์เรื่องราวของหอนาฬิกา แสดงประวัติความเป็นมาของเกษตรในเมืองซัปโปโร และการพัฒนาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ส่วนข้าเจ้ากับขุ่นพ่อนั้นกลับสนใจที่จะนั่งฟังเสียงระฆังจากประเทศต่างๆ บนแท่นสี่เหลี่ยม หอนาฬิกาซัปโปโรแห่งนี้ว่ากันว่า แรกเริ่มเดิมทีมีดอกเตอร์ท่านหนึ่ง ชื่อดร.จอห์น คลาร์ก ซึ่งรองผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่นแรกของวิทยาลัยการเกษตรซัปโปโร(มหาวิทยาลัยฮอกไกโดในปัจจุบัน) ต้องการสร้างเป็นโรงแสดงศิลปะการต่อสู้ โดยสร้างเป็นอาคารไม้แบบโครงสร้างแบบบอลลูน ซึ่งเป็นที่นิยมในอเมริกากลางและอเมริกาตะวันตกในช่วงยุคนั้น ส่วนชั้นที่ 2 นั้นก็จะเป็นห้องโล่งๆที่สมัยก่อนเป็นโรงแสดงศิลปะการต่อสู้ แต่ปัจจุบันมีนาฬิกาที่ใหญ่อันใหญ่ตั้งโชว์พร้อมกับไกด์อาสาทำหน้าที่คอยอธิบายประวัติความเป็นมาต่างๆให้ได้ฟัง และในห้องโถนี้ยังส่วนที่ใช้สำหรับทำพิธีต่างๆ มีเก้าอี้ให้นั่งอย่างกับอยู่ในโบสถ์ไม่มีผิด นี่ก็คือผู้เริ่มก่อตั้งหอนาฬิกาแห่งนี้ ดร.จอห์น คลาร์ก นั่นเอง จนในปีพ.ศ.2513…
-
[รีวิวฮอกไกโด] : สุดยอดบรรยากาศโรแมนติกต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสที่ตลาด German Christmas market sapporo
ในระหว่างการเดินทางท่ามกลางความหนาวเย็นจากเกล็ดน้ำแข็งสีขาวที่กำลังร่วงลงมาจากท้องฟ้ามองไปทางใดก็เห็นเพียงแค่แสงไฟสลัวๆ ในม่านหมอกและรถยนต์ที่กำลังขับผ่านไปมาพร้อมเสียงล้อรถที่ถูกับพื้นน้ำแข็งเสียงดังฟรืดๆ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกของทุกๆ คนในทริปที่ได้เห็นหิมะตกหนักแบบนี้ ทำเอาตื่นเต้นดีใจที่ได้เห็นกันยกใหญ่เลย^^ แต่เพียงแค่ข้ามถนนมายังสวนโอโดริแห่งนี้ หมอกจางๆ ที่ปกคลุมไปทั่วชั้นบรรยากาศเมื่อกี้ก็เริ่มจางหายไปผู้คนประปรายจากภาพที่เห็นก่อนหน้าตอนนี้กลับคึกคักเดินสวนกันไปมาขวักไขว่ เพราะนี่ก็คือ เทศกาลตลาดคริสต์มาสเยอรมัน หรือ เทศกาลตลาดคริสต์มาสมิวนิก ในเมืองซัปโปโร นั่นเอง ซึ่งเป็นที่ๆ สุดยอดแห่งบรรยากาศโรแมนติกต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ถึงขนาดที่บางคนลืมความหนาวไปซะสนิทมาเดินย่ำหิมะซื้อของกันโดยไม่สนใจที่จะกางร่มหรือใส่หมวกอยู่กลางงานเทศกาลหลายคนเลย เป็นช่วงเวลา 1 เดือนเต็มแห่งการสัมผัสบรรยากาศคริสต์มาสสไตล์เยอรมันแบบนี้ โดยเริ่มงานเทศกาลตั้งแต่ November 22– December 25, 2018 เทศกาลตลาดคริสต์มาสเยอรมัน หรือ เทศกาลตลาดคริสต์มาสมิวนิก นี้เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ 30 ปีแห่งสายสัมพันธ์อันดีงามกับเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน จึงมีร้านค้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของทางฝั่งเยอรมันเข้ามาขายกันอยู่หลายร้าน โดยเฉพาะอาหารสไตล์เยอรมัน เช่นพวกฮอทดอก เนื้อย่าง บาร์บีคิว เบียร์ และขนมต่างๆ พร้อมทั้งของที่ระลึกในเทศกาลคริสต์มาสก็ให้เดินชมกันอย่างเพลิดเพลิน หากอยากทานอาหารด้วยบรรยากาศแสนจะอบอุ่นหล่ะก็ให้เข้าไปในโดมเต็นท์แห่งนี้ ที่มีที่นั่งและเครื่องทำความร้อนจึงบริการอยู่ แต่นั้นแหละ ณ เวลาแบบนี้ใครๆ ก็ต้องการความอบอุ่น แถมวันนี้ยังเป็นวันแรกของงานเทศกาลด้วย โดมสีแดงจึงอัดแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบไม่มีที่ยืน พวกเราจึงเริ่มต้นด้วยโต๊ะยืนภายนอกที่ตอนนี้โต๊ะทุกตัวกลายเป็นโต๊ะหิมะปุกปุยไปหมดแล้ว มายืนหนาวๆ ข้างนอกมันก็เข้าท่าไปอีกแบบ รู้สึกได้สัมผัสกับบรรยากาศ(หนาว)ที่แท้จริง5555 และพวกเราก็เริ่มต้นด้วยเบียร์อุ่นๆมายืนจิบกัน…